นครพนม สุดอาลัย หมอสอย หรือ สหายคำตัน วัย 83 ปี ด้วยโรคชรา เจ้าของฉายาหมอสมุนไพรเท้าเปล่าชื่อดัง เคยศึกษาเรียนวิชาแพทย์แผนจีน ยุคคอมมิวนิสต์ ก่อนสืบทอดจาก ปู่ ศึกษาต้นตำหรับสูตรสมุนไพรรักษาสารพัดโรค รวมถึงโรคมะเร็ง จนได้รับใบประกอบวิชาชีพแพทย์ทางเลือกจากกระทรวงสาธารสุข ผู้ป่วยแห่รักษาทั่วประเทศ พบประวัติเคยเข้าป่าทำหน้าที่แพทย์สมุนไพร ดูแลรักษากลุ่มสหาย นานกว่า 20 ปี สุดทึ่งมีภรรยาถึง 12 คน ด้านภรรยาเผย ยังสืบทอดวิชาปรุงสมุนไพร รักษาผู้ป่วยต่อเนื่อง เป็นแพทย์ทางเลือก
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.นครพนม นับเป็นข่าวเศร้า หลังสูญเสียปราชญ์ชาวบ้าน และเป็นต้นตำหรับหมอยาสมุนไพรพื้นบ้าน แพทย์แผนไทยทางเลือกชื่อดัง เจ้าของ ฉายา หมอสอยเท้าเปล่า หรือ พ่อหมอสอย เพชรฤทธิ์ อายุ 83 ปี หมอพื้นบ้านตีนเปล่าของมวลชน แห่งบ้านหนองบัว ต.โคกสี อ.วังยาง จ.นครพนม ที่เสียชีวิต ด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา โดยทางครอบครัว ได้นำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้านพัก เลขที่ 13 บ้านหนองบัว ต.โคกสี อ.วังยาง จ.นครพนม กำหนดพิธีฌาปนกิจศพ ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2565 ที่สถานฌาปนกิจศพชั่วคราว ใกล้บ้านพัก
สำหรับ พ่อหมอสอย เพชรฤทธิ์ อายุ 83 ปี หรือสหายคำตัน หมอพื้นบ้านตีนเปล่าของมวลชน แห่งบ้านหนองบัว ต.โคกสี อ.วังยาง จ.นครพนม ถือเป็นอดีตสหาย ที่เติบโตในยุคคอมมิวนิสต์ ในพื้นที่สีแดง อ.นาแก อ.วังยาง และ อ.ปลาปาก จ.นครพนม จึงได้ต่อสู้ในยุคสงครามความแตกแยกทางความคิดระหว่าง รัฐกับประชาชน ทำให้ พ่อหมอสอยต้องหนีเข้าป่าเพื่อต่อสู้ตามอุดมการณ์ของประชาชน ตัดสินใจเดินทางเข้าป่า เมื่อปี 2509 จนกระทั่งออกจากป่า เมื่อปี 2527 รวมระยะเวลาเข้าป่าเกือบ 20 ปี โดยเริ่มศึกษามีพื้นฐานเรื่องยาสมุนไพรพื้นบ้านจากคุณปู่ มาตั้งแต่ อายุ 7 ขวบ จนกระทั่ง อายุ ประมาณ 17 ปี ได้เข้าป่าร่วมกลุ่มกับพรรคคอมมิวนิสต์ หรือสหาย จนได้ฉายา ว่าสหายคำตัน และขอไปเรียนการทหารที่ประเทศเวียดนาม 2 ปี แต่ไม่ชอบ จึงขอไปเรียนศึกษาเกี่ยวกับการแพทย์รักษาโรค รวมถึงการใช้สมุนไพรรักษาโรค ที่ มณฑลยูนนาน กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน รวมระยะเวลา กว่า 5 ปี ก่อนกลับมาประเทศไทย และออกจากป่าใช้ชีวิตเป็นเกษตรกร และเป็นหมอสมุนไพรรักษาชาวบ้าน โดยเริ่มจากการรักษาคนในหมู่บ้าน รวมถึงในพื้นที่ จ.นครพนม จนมีชื่อเสียง และเดินเท้าเปล่าไปรักษาที่พื้นที่ จังหวัดใกล้เคียง ในอีสาน จนมีชื่อเสียง ในชื่อ หมอพื้นบ้านตีนเปล่าของมวลชน แห่งบ้านหนองบัว เพราะไม่เคยสวมรองเท้า ส่วนการรักษาจะรักษาโรคทั่วไป อาทิ ไข้หวัด ความดัน เบาหวาน โรคผิวหนัง โรคกระเพาะ เป็นต้น ด้วยยาจากสูตรสมุนไพร ไปจนถึงโรคมะเร็ง และมีการศึกษาค้นหาการรักษาโรคมะเร็งให้กับ ภรรยา ของตัวเอง ที่ป่วยจากโรคมะเร็งจนหาย ทำให้มีชื่อเสียงในการรักษาโรคมะเร็ง มีผู้ป่วยเดินทางมารักษา เป็นการรักษาแพทย์ทางเลือก หายป่วยหลายราย จนมีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ
ด้าน นางบุญเทียน ไชยต้นเชือก อายุ 76 ปี ภรรยาหมอสอย เปิดเผยว่า ตนกับหมอสอย ได้แต่งงานอยู่กินกัน นานกว่า 20 ปี หลังออกจากป่า มีลูกสาว 1 คน อายุ 28 ปี โดยคุณตาสอย เคยมีภรรยามาก่อน รวม 12 คน ลูกอีก 12 คน เพราะเป็นคนที่เดินทางไปหลายจังหวัดในพื้นที่อีสาน รวมถึงภาคอื่นๆ ของไทย ทำให้เป็นที่รู้จักมักคุ้น และไปรักษาผู้ป่วยจนหายจากโรคต่างๆ บางคนมีแม้กระทั่งยกลูกสาวให้เป็นภรรยา ทำให้มีภรรยาหลายคน ส่วนตนเป็นคนล่าสุด ต้องยอมรับว่า คุณตาสอย เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถด้านวิชาแพทย์สมุนไพรพื้นบ้าน เป็นที่ยอมรับของผู้ป่วยทั่วประเทศ โดยเริ่มจากรักษาคนในครอบครัว ทั้งตนและลูกสาว ที่ป่วยเป็นมะเร็ง จนหายจากการใช้สมุนไพร และรักษาต่อเนื่องมา ไม่คิดค่าใช้จ่าย เพียงมีค่าใช้จ่ายยาสมุนไพร ห่อละ 100 บาท ถือเป็นแพทย์ทางเลือกที่รักษาด้วยสมุนไพร ทำให้มีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เข้ามาสนับสนุนส่งเสริม จนได้รับรางวัลมากมาย อาทิ เป็นผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาแพทย์แผนไทย ประเภทเวชกรรม ได้รับใบอนุญาต เมื่อปี 2554 ได้รับรางวัลผลงาน กรรมการประเมินรับรองหมอพื้นบ้าน ระดับจังหวัดนครพนม พ.ศ. 2558 รางวัลเชิดชูเกียรติหมอพื้นบ้าน พ.ศ.255 ผ่านการอบรมหลักสูตรระยะสั้นหลักสูตร ห่างไกลโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงด้วยวิธีองค์รวม พ.ศ.2555 นอกจากนี้ยังได้รับมอบเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติหมอไทยดีเด่น ระดับเขตบริการสุขภาพที่ 8 พ.ศ.2558 ที่สำคัญยังได้รับพระราชทานเข็มเชิดชูเกียรติพระธาตุพนม สาขาหมอพื้นบ้าน ประจำปีการศึกษา 2561 จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราช เจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พ.ศ.2562
นางบุญเทียน ไชยต้นเชือก กล่าวอีกว่า ถือเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของครอบครัว ถึงวันนี้จะสูญเสียคุณตาสอย สร้างความโศกเศร้าเสียใจแก่ครอบครัว แต่ยังมีความภาคภูมิใจที่ คุณตาสอย ได้ศึกษานำความรู้ด้านแพทย์สมุนไพร มาดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยจนเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ และยังได้ถ่ายทอดความรู้ เรื่องสมุนไพร ให้กับภรรยา และลูกชาย ลูกสาว จนสามารถปรุงยาสมุนไพรพื้นบ้านรักษาโรคแทนได้ หากผู้ป่วยที่มีความต้องการที่จะเข้ารับการรักษาโรคต่างๆ จากแพทย์สมุนไพร เป็นทางเลือกนอกจากแพทย์แผนปัจจุบัน