พรรคเพื่อไทยชี้ฝ่ายค้านประสบความสำเร็จ คะแนนไว้วางใจประยุทธ์และรัฐมนตรีไม่เป็นเอกภาพ ส่งสัญญาณความแตกแยกในรัฐบาลช่วงขาลง – ด้านซูเปอร์โพลเผยผลสำรวจ 2,930 คน 77.8% ต้องการให้ปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่
21 ก.พ. 2564 เว็บไซต์พรรคเพื่อไทย รายงานว่านายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทยให้ความเห็นหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะคะแนนไว้วางใจและไม่ไว้วางใจเป็นเอกภาพ เสียงแตกเละ ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบรัฐมนตรีที่ได้คะแนนไว้วางใจสูงสุดกับต่ำสุด 3 ลำดับสุดท้าย ห่างกันถึง 17,12 และ 7 คะแนน ตามลำดับ ซึ่งไม่เป็นเอกภาพชัดเจน ต่างจากที่แกนนำรัฐบาลให้ข่าวว่า คะแนนไว้วางใจจะทัดเทียมกัน ที่แปลกประหลาดกว่านั้น ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งปกติจะต้องได้รับคะแนนไว้วางใจอยู่ในลำดับที่ 1 แต่ปรากฎว่าผลคะแนนกลับลงไปอยู่ในลำดับที่ 4 จาก 10 รัฐมนตรี ส่วนคะแนนไม่ไว้วางใจตกลงไปอยู่ในลำดับที่ 6/10 นับว่าผิดความคาดหมายอย่างยิ่ง ทั้งสองประการดังกล่าว ถือเป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองครั้งสำคัญไปยังรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ 2 ว่าคงถึงเวลาเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างแน่นอน เพราะอาจร่วงผลอยกลางสภา ฯ เมื่อไรก็ได้ถ้าไม่เป็นเอกภาพเช่นนี้
นายชวลิต กล่าวต่อว่า ตนเป็นคนมองโลกในแง่ดี พยายามคิดบวกเสมอว่า คะแนนที่ออกมาเช่นนี้สะท้อนความจริงว่าเป็นเพราะ พล.อ. ประยุทธ์ ฯ ท่านบริหารบ้านเมืองมานานถึง 7 ปีแล้ว วิกฤติหรือปัญหาสำคัญของประเทศในการแข่งขันกับชาวโลก และในภูมิภาคอาเซียนคงต้องเอาผู้ที่มีความรู้ ความสามารถเฉพาะด้าน โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจและการบริหารมาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง แต่นี่บริหารประเทศมา 7 ปีแล้ว เห็นชัดเจนว่าคนจนจะล้นประเทศ ส่วนคนรวยซึ่งเป็นรัฐมนตรีหลายท่านในรัฐบาลนี้ กิจการอาจเริ่มสั่นคลอนถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ฯ ยังบริหารประเทศต่อไป ดังนั้น กรณีผลคะแนนไว้วางใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ฯ ที่ได้ลำดับที่ 4/10 จึงมีนัยสำคัญที่ส่งสัญญาณทางการเมืองโดยอ้อมอย่างมีมารยาททางการเมืองไปยัง พล.อ. ประยุทธ์ ฯ ว่า “ท่านพอได้แล้ว”
หาก พล.อ.ประยุทธ์ ฯ นำผลคะแนนจากการอภิปรายไม่วางใจไปไตร่ตรองอย่างรอบคอบ แล้วแสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐสภาก็สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้ตามกติกาที่วางไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 ประเทศไม่มีทางตัน มีทางออกตามครรลองประชาธิปไตย
“ผมหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ ฯ จะมีสปิริต รู้นัยทางการเมืองจากการลงคะแนนไม่ไว้วางใจซึ่งแม้ผลคะแนนรัฐบาลจะไม่แพ้ แต่ความนัยจากผลคะแนนที่ไม่เป็นเอกภาพ และผลคะแนนของพล.อ.ประยุทธ์ ฯ เอง ที่ได้คะแนนน้อยกว่าลูกทีมไปหลายลำดับ น่าจะทำให้ท่านตัดสินใจทางการเมืองเพื่อบ้านเมือง ด้วยถ้อยคำว่าผมพอแล้ว” นายชวลิต กล่าว
ซูเปอร์โพลเผยผลสำรวจ 77.8% ต้องการให้ปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่
เว็บไซต์ไทยโพสต์ รายงานว่านายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง รัฐบาลได้ไปต่อ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 2,930 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 20 – 21 ก.พ. 2564 ที่ผ่านมา
เมื่อถามถึงความพอใจของประชาชนต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีผู้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พบว่า กลุ่ม 3 ป.ผู้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเกาะกลุ่มได้รับความพอใจจากประชาชนโดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูลแทรกเป็นอันดับสองรองจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่ได้คะแนนความพอใจสูงสุดอันดับหนึ่งคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ร้อยละ 44.7 อันดับสองได้แก่ นาย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ร้อยละ 41.3 อันดับสาม ได้แก่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ร้อยละ 39.9 เท่ากัน ตามด้วย อันดับห้า ได้แก่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร้อยละ 39.5 และอันดับ หก ได้แก่ นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ร้อยละ 38.9 ตามลำดับ
ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 77.8 ต้องการให้รัฐบาลปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ค่อนข้างมาก ถึง มากที่สุด ร้อยละ 17.2 ต้องการปานกลาง และเพียงร้อยละ 5.0 เท่านั้นที่ต้องการค่อนข้างน้อย ถึง ไม่ต้องการเลย
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.4 ให้โอกาสรัฐบาลได้ไปต่อ เพราะรับมือวิกฤตโควิดได้ดีเห็นชัดเจนเปรียบเทียบต่างประเทศทั่วโลก แก้วิกฤตเศรษฐกิจกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนได้โครงการ คนละครึ่ง และอื่น ๆ ให้กำลังใจคนทำงาน เห็นผลงานเป็นรูปธรรมเส้นทางเดินรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ เห็นความเจริญ และเป็นรัฐบาลช่วงวิกฤตใหญ่ทำได้แบบนี้ก็ดีแล้ว ทำต่อไป ในขณะที่ร้อยละ 20.6 ไม่ให้โอกาส เพราะไม่มีอะไรดีขึ้น แก้ปัญหาไม่ได้จริง ประชาชนกำลังจะอดตายอยู่แล้ว โครงการกระจายรายได้ถึงมือเฉพาะกลุ่มขาประจำ ไม่เห็นผลงาน เงินขาดมือ เป็นต้น นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 56.2 เชื่อมั่นค่อนข้างมาก ถึง มากที่สุด ต่อรัฐบาลในการทำงาน หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในขณะที่ร้อยละ 24.0 เชื่อมั่นปานกลาง และร้อยละ 19.8 เชื่อมั่นค่อนข้างน้อย ถึง ไม่เชื่อมั่นเลย
ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.1 ไม่เห็นด้วยกับการพาคนลงถนนของกลุ่มต่าง ๆ ที่เรียกร้องประเด็นละเอียดอ่อนด้านความมั่นคงและการเมือง
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลการสำรวจทั้งสามครั้งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ พบว่าส่วนใหญ่เชื่อว่าผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองทั้ง 3 ป.จะผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปได้อย่างแน่นอนสอดคล้องกับผลสำรวจเสียงของประชาชนล่าสุดที่พอใจค่อนข้างมากถึงมากที่สุดต่อผู้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยคะแนนความพอใจของประชาชนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เกาะกลุ่มกันในอันดับต้น ๆ แต่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแทรกเข้ามาเป็นอันดับสองรองจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
“โดยสรุปคือ ผลสำรวจเสียงของประชาชนให้นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้คะแนนพอใจมากที่สุดในการสำรวจครั้งนี้ แต่ต้องการให้ปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่และให้รัฐบาลได้ไปต่อบนความเชื่อมั่นต่อการทำงานค่อนข้างมากถึงมากที่สุด และไม่เห็นด้วยกับกลุ่มต่าง ๆ ที่พาคนลงถนน เพราะเป็นการนำไปสู่ความรุนแรงบานปลาย ความแตกแยกของคนในชาติ และซ้ำเติมวิกฤตโควิด วิกฤตเศรษฐกิจของชาติและซ้ำเติมความทุกข์ของประชาชน” ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าว